ดินสอสีเลือด
เรื่องสั้น...THAI IMITATED 'SAW' (248 อ่าน)
12 พ.ย. 2565 17:10
THAI IMITATED "SAW"
โดย : ดินสอสีเลือด
“กูอยู่ที่ไหนวะเนี่ย ?”
นายเขียด งัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงสงสัย ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มองไปโดยรอบ เป็นห้องสี่เหลี่ยมเก่า ๆ สีของผนังซีเมนต์ลอกออกมาเป็น
แผ่น ๆ ไปทั่ว พื้นห้องสกปรก เต็มไปด้วยฝุ่นและเศษกระดาษกระจัดกระจายรวมถึงเศษผ้าเก่าฉีกขาดบางผืน มีรูปภาพโปสเตอร์ หญิงสาวรูปร่างสมส่วนผิวขาวนวลเนียนเปล่งปลั่งเปลือยครึ่งตัว ท่อนล่างมีเพียงผ้าแพรสีเทาอ่อนผูกมัดปมอยู่ใต้สะดือ ส่วนด้านบนอุ้มแจกันสีน้ำตาลปิดหน้าอกไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างเปลือยเปล่าเห็นยอดอกสีชมพูอ่อน ยืนอยู่กลางลำธาร มันทำให้นายเขียดมีอารมณ์อยากในกาม จับจ้องภาพนั้นอยู่นาน พลางคิดวิตถาร ถ้าแค่ใช้ปลายนิ้วก้อยเกี่ยวผ้าผืนนั้นนิดเดียว ก็คงเห็นหมดทั้งเรือนร่างอันสมส่วนเอวคอดกิ่ว โคนขาขาวผ่องเย้ายวน แล้วมันรีบสะบัดความคิดนั้นทิ้ง หันไปมองทางประตู ที่มีแต่วงกบไม่มีบาน มีหน้าต่างสองบานสภาพเดียวกันคือไม่มีบานหน้าต่าง ด้านบนรูปภาพ มีกล่องอะไรบางอย่างคล้ายนาฬิกาจับเวลา แต่มันไม่ทำงาน
“นี่ใครมาทำอะไรกับกูวะ ?”
สบถด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว พบว่าตัวเองนั่งอยู่กับเก้าอี้เก่า ๆ กลางห้อง มือข้างหนึ่งติดอยู่กับโต๊ะไม้ แกะออกไม่ได้เพราะถูกยึดด้วยกาวร้อนติดไว้บนโต๊ะไม้สกปรก เท่านั้นยังไม่พอ ที่ข้อมือถูกล็อกด้วยกำไลเหล็ก ต่อให้แกะกาวออกได้ มือของนายเขียดก็ไม่หลุดออกจากกำไลเหล็ก ยึดติดกับโต๊ะอยู่ดี จะขยับยกโต๊ะทั้งตัวก็ทำไม่ได้อีก มองลงไปดูขาโต๊ะทั้งสี่ถูกล็อกยึดติดแน่นหนาไปกับพื้นซีเมนต์ พยายามใช้มืออีกข้างที่ไม่ถูกพันธนาการด้วยกาว และกำไลเหล็ก แกะมือข้างนั้นออกให้ได้ ทว่าเปล่าประโยชน์ ยิ่งทำให้ตัวเองเจ็บจนมือข้างถูกล็อกไว้แดงช้ำไปทั่วทั้งแขน
“สวัสดีครับคุณเขียด” ชายคนหนึ่งก้าวออกมายืนอยู่ตรงประตูไม่มีบาน รูปร่างสูงตามชายไทยทั่วไปประมาณร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ใส่สูทสีดำเสื้อตัวในเป็นเชิ้ตสีขาว สวมหน้ากาก เลียนแบบหนังภาพยนต์เรื่อง ซอว์ (SAW)
“มึงเป็นใคร มึงใช่ไหมที่ทำกับกูแบบนี้” เอะอะโวยวาย ตะเบ็งเสียงใส่ชายสวมสูทชุดดำหน้ากากซอว์ พยายามนึกว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี่ มันจำได้แล้วว่าครั้งล่าสุด นั่งดื่มสุราอยู่ในร้านเหล้า หน้าปากซอย ก่อนทางเข้าห้องเช่าที่มันอาศัยอยู่ ด้วยเงินที่ตัวเองไม่ได้หามา แต่แอบใช้วิชาย่องเบาไปล้วงเอาของคนอื่นมาเป็นของตน
“คุณไปขโมยเงินคนอื่นมาแบบนี้ไม่ถูกต้องนะครับ”
ตกใจหน้าเสียที่มีคนมารู้ความลับของมัน นายเขียดนิ่งงันไปชั่วขณะ แต่ก็รีบปฏิเสธในทันควัน
“มึงรู้ได้ยังไง ? เงินกู กูไม่ได้ขโมยเงินใคร ?”
“ผมจะถามคุณแค่คำถามเดียว ฟังผมให้ดี คำถามนี้มีผลต่อชีวิตคุณเอง” ชายหน้ากากซอว์ ยืนพิงอยู่ขอบประตูกอดอกคุยอย่างใจเย็น แต่วาจาเฉียบขาด จนคนฟังนึกหวาดเย็นวาบไปถึงสันหลัง
“จะทำอะไรกู ปล่อยกูไปเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นกูจะร้องให้คนมาช่วย” ยังไม่ยอมทำตามแถมยังขู่กลับไปหวังว่า จะทำให้อีกคนนึกกลัวได้บ้าง ถ้ามีใครได้ยินเสียงก็ต้องรีบมาช่วย แต่มันไม่รู้ว่าที่มันอยู่ตอนนี้คือบ้านร้างห่างไกลผู้คน
“ไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าอยากจะร้อง เอาไว้ร้องตอนคุณต้องเลือก ว่าจะอยู่หรือไปดีกว่า” ชายหน้ากากซอว์ ยังคงพูดน้ำเสียงราบเรียบ ด้วยวาจาสุภาพเยือกเย็น
“มึงพูดอะไรของมึงวะ ?” ตะคอกเสียงดัง หากแต่หัวใจมันกลับเต้นโครมคราม
“ฟังผมให้ดีแล้วตอบมาว่าใช่หรือไม่ ก่อนตอบคิดให้ดี ถ้าคุณโกหกผมจะให้สแตนเลสม้วน ที่อยู่บนหัวคุณหล่นทับคุณทันทีด้วยปุ่มรีโมทในมือผม
แต่ถ้าคุณยอมรับผมจะยื่นโทรศัพท์ให้คุณแทน และผมจะบอกวิธีเอาตัวรอดของคุณภายในห้านาที ก่อนสแตนเลสม้วนจะหล่นมาทับคุณตาย คิดให้ดี
ก่อนตอบแต่ถ้าคุณอยากลองดีกับผม ว่าจะทำจริงไหมก็ลองโกหกผมดูก็ได้ อาทิตย์ที่ผ่านมา คุณไปล้วงกระเป๋าเงินของผู้หญิงคนหนึ่งได้เงินไป 8,000 บาท ใช่ไหม ?” ชายสวมสูทชุดดำถามเพื่อระบุเป้าหมายว่าไม่พลาด เป็นคนเดียวกับที่ขโมยเงินเดือนครึ่งเดือนแรกของน้องสาวเขาเพิ่งเริ่มเข้าทำงาน มันทำให้น้องสาวของเขาต้องร้องไห้เสียน้ำตาไปเป็นปี๊บเลยก็ว่าได้
“ม..”
นายเขียดตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่รีบหยุดกะทันหัน กลืนคำโกหกลงไปในลำคอแทน เพราะเสียงเฉียบขาดของชายหน้ากากซอว์ มันมีพลังอำนาจมากเกินกว่าจะลองดี คิดในใจ -- ทำไมมันรู้วะ ? -- ..หรือว่าชายคนนี้จะเห็นเหตุการณ์วันนั้น วันที่มันตามผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังกดเงินในตู้เอทีเอ็มแล้วเอาไปเก็บในกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะยัดใส่กระเป๋าถือคล้องไหล่ไว้อีกที มันตามเธออยู่ห่าง ๆ เธอเดินเข้าไปในตลาดนัดตะวันนาแถวบางกะปิ แล้วซื้อเสื้อตัวหนึ่งจ่ายด้วยเงินแบงก์พัน เธอรับเงินทอนมาถือไว้ในมือ จากนั้นเธอเดินดูอะไรต่ออีกสักพัก ก็ได้เสื้อตัวที่สอง แล้วเดินออกจากตลาดไปรอขึ้นรถเมล์ รถมาแล้วเธอกำลังก้าวขึ้นรถ แต่ด้วยคนเยอะมากจึงเบียดเสียดกัน มันอาศัยช่วงเวลานี้ล้วงเข้าไปในกระเป๋าสะพายไว้บนไหล่ของเธอ ได้ในพริบตา กระเป๋าของเธอใบเล็กเป็นแบบฝาเปิดปิดด้วยกระดุม ทำให้ได้กระเป๋าสตางค์ใบนั้นมาอย่างง่ายดาย เพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ทันสังเกต ใช่เงินในนั้นมีอยู่ แปดพันบาท จริง ๆ
“ใช่ กูยอมรับว่ากูล้วงเอาเงินผู้หญิงคนหนึ่งตรงป้ายรถเมล์ แถวบางกะปิ ได้เงินมา แปดพันบาท”
ในที่สุดนายเขียดก็เลือกพูดความจริง เพราะม้วนสแตนเลสอันมหึมาห้อยต่องแต่งอยู่บนหัวของมันเพียงไม่กี่เมตร แขวนอยู่บนขื่อใต้หลังคาบ้านร้างชั้นเดียวหลังนี้
“หึ..ขอบคุณที่พูดความจริง แล้วนี่ก็โทรศัพท์ อีกสองนาทีผมจะโทรมาเข้าเครื่องนี้ ผมจะบอกว่าคุณสามารถหนีเอาตัวรอดได้ยังไง”
โยนโทรศัพท์ไว้ปลายเท้า แล้วเตะเขี่ยไปหานายเขียด แต่มันเลยไปทำให้นายเขียดต้องตะเกียกตะกาย ใช้เท้าพยายามเขี่ยโทรศัพท์เข้ามาหาตัวเองให้ใกล้ที่สุด เพื่อเอื้อมหยิบโทรศัพท์ ก็ได้รู้ว่าก้นตัวเอง ถูกยึดติดกับเก้าอี้แนบสนิท แกะไม่ออกเต็มไปด้วยกาว กว่าจะพยายามเขี่ยโทรศัพท์มาได้เสียเวลาไปพักใหญ่ มันเงยหน้าขึ้น ชายหน้ากากซอว์ ก็อันตรธานหายไปแล้ว เป็นเวลาเดียวกับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตามมา
“มึงจะเอายังไงกับกูวะ”
กดรับโทรศัพท์ตะคอกลงไปเสียงดัง อารมณ์โกรธแค้นปะปนไปกับความหวาดหวั่น ตอนนี้มันรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว เม็ดเหงื่อผุดขึ้นทั่วใบหน้าและลำตัว ความกลัวเข้ามาสะกดจิตใจให้หวั่นไหว กลัวความตายเข้ามาจริง ๆ
“ถึงแม้คุณยอมรับว่าคุณขโมยเงินผู้หญิงคนหนึ่งไปจริง ๆ แต่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้รับโทษ เพราะคุณไปเที่ยวขโมยเงินคนอื่นมาเยอะแยะจนจำไม่ได้ว่า
กี่ครั้ง ผมให้เวลาคุณช่วยเหลือตัวเองให้รอดตาย เพราะผมตั้งระบบปล่อยม้วนสแตนเลส ให้หล่นไปทับคุณทันทีภายในห้านาทีเท่านั้น คุณไม่ต้องคิดหลบใต้โต๊ะเพราะก้นของคุณติดไปกับเบาะนั่งเก้าอี้คุณก็คงรู้แล้ว ฟังผมให้ดี ใช้มือของคุณข้างที่ไม่ถูกยึดคลำหาขวาน มันอยู่ใต้เก้าอี้ หยิบมันขึ้น ทีนี้คุณก็เลือกเอาว่า คุณจะใช้ขวานตัดกำไลเหล็กให้ขาดภายในห้านาทีได้ไหม ? หรือจะตัดแขนตัวเอง เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด เลือกเอาเองชีวิตคุณ อ้อ ถ้าหากคุณมีชีวิตรอดกลับไปได้ อย่าคิดไปขโมยเงินใครอีก ถ้าผมรู้ ผมจะตามไปตัดแขนอีกข้างของคุณ แถมขาทั้งสองข้างด้วย”
สิ้นเสียงโทรศัพท์ แผงนาฬิกาจับเวลาบนผนังเก่าก็ดังขึ้น เริ่มทำงานนับเวลาถอยหลัง
05:00
“มันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ นี่มันคิดว่ามันเป็นไอ้โรคจิตในหนังเหรอวะ” ปากทำเป็นก่นด่า แต่ใช้มืออีกข้างคลำหาขวานใต้เก้าอี้ เห็นว่ามีอยู่จริงรีบกระชากออกมาจนหลุด เป็นขวานด้ามทำจากเหล็กดำทรงกลมใหม่เอี่ยมเงาวับ
04:32
นายเขียดไม่ทำตาม ปากตะโกนโหวกเหวกเสียงดังลั่นทุ่ง “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยกูด้วย ช่วยด้วย” อยู่อย่างนั้นหลายครั้ง แต่เปล่าประโยชน์ไม่มีใครโผล่มาทางประตูให้เห็น แม้แต่หมาแมวสักตัวก็ไม่มี
04:06
เหงื่อกาฬท่วมตัว หายใจเต้นเร็วถี่ อดรีนาลีนในกายพลุ่งพล่าน มือถือขวานข้างที่ไม่ถนัดพยายามฟันกำไลเหล็กบนข้อมือแต่ไม่สำเร็จ กำไลเหล็กไม่มีทีท่าว่าจะขาด มีแต่ข้อมือของมันแดงช้ำห้อเลือด
03:37
ยังไม่ลดละความพยายาม ฟันตรงไปที่กำไลเหล็กบนข้อมือ อีกนับครั้งไม่ถ้วนอย่างระมัดระวัง กลัวจะไปฟันโดนแขนตัวเองเข้าให้
02:49
แหงนหน้าคอตั้งบ่า มองม้วนเหล็กขนาดมหึมา ถ้ามันตกลงมามันคงตายกับตาย เหลือเวลาน้อยลงทุกขณะ ตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางวางขวานลงบนข้อมือตัวเอง
02:21
ก้มหน้าพยายามใช้ปากคาบดึงคอเสื้อเชิ้ตกระดุมหน้าแขนสั้นของตัวเองขึ้นมากัดไว้แน่น นายเขียดหายใจเต้นถี่ราวกับตีกลองรัวสนั่นหวั่นไหว เม็ดเหงื่อไหลเข้าตาจนรู้สึกแสบ
02:03
ยกมือขึ้นสุดแขน กลั้นลมหายใจ ฟันลงไปบนโต๊ะไม้ เฉียดข้อมือไปเพียงสองนิ้ว -- กูทำไม่ได้ กูตัดแขนตัวเองไม่ได้ กูทำไม่ได้โว้ย กูทำไม่ได้ -- นายเขียดโพล่งออกมา หน้าตาเหยเก อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก
01:25
แหงนมองดูนาฬิกาบนผนังที่เหลือน้อยลงทุกที แล้วแหงนมองดูม้วน
สแตนเลสเหนือศีรษะอีกครั้ง ตัดสินใจดึงขวานขึ้นมาใหม่
01:10
วางขวานลงบนแขนเหนือข้อมืออีกครั้ง ก้มลงใช้ปากดึงคอเสื้อขึ้นมากัด สูดหายใจยาวลึก ยกขวานลอยสูงขึ้นสุดแขนแล้วหลับตา ตัดสินใจฟันแขนตัวเองในทันที “โอ๊ย โอ๊ย โอ๊ย” เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูดบางส่วนกระเด็นข้ามโต๊ะลงพื้น บางส่วนไหลลงบนโต๊ะตอนนี้มันเจิ่งนองด้วยเลือด กลิ่นคาวตีขึ้นจมูก ทว่าอนิจจา แขนมันยังไม่ขาด อาจเป็นเพราะทิ้งน้ำหนักลงน้อยไป หรือไม่ก็กระดูกแข็ง นายเขียดมีใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก เต็มไปด้วยความเจ็บปวดร้องโอดครวญเสียงหลง
00:31
ตัดสินใจเฮือกสุดท้าย ยกขวานให้ลอยสูงขึ้นสุดแขน ฟันลงไปตำแหน่งเดิมอีกครั้ง คราวนี้มันตัดสินใจจับจ้องข้อมือของตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือด เพื่อไม่ให้พลาดเป้าไปโดนตำแหน่งอื่น
00:15
สำเร็จ ข้อมือของมันขาดออกจากกัน ทว่าเจ้ากรรม มันกลับยังดึงแขนออกจากโต๊ะไม่ได้ เพราะช่วงแขนก็ยังถูกทาด้วยกาวร้อนติดกับโต๊ะ มันมองดูเวลาด้วยสีหน้าหวาดกลัว โยนขวานทิ้ง รีบเอามืออีกข้างมาดึงแขนด้วนตัวเองออกมาสุดแรง ชิ้นเนื้อใต้ท้องแขนของมันฉีกขาดเท่าฝ่ามือยังติดอยู่กับกาวบนโต๊ะ แล้วร่างของมันก็กระเด็นออกมาล้มลงไปพร้อมกับเก้าอี้
00:00
ม้วนสแตนเลสหล่นลงมาตรงตำแหน่ง ที่นายเขียดนั่ง โต๊ะไม้เก่า ๆ หักครึ่งในเวลาต่อมา เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ฝุ่นฟุ้งไปทั่วห้องปะปนไปกับกลิ่นคาวเลือดของมัน
นายเขียดถอนหายใจโล่งอก ถึงแม้มันจะเจ็บปวดจากบาดแผลที่ตัดมือตัวเอง เลือดยังคงไม่หยุดไหล มันรีบพยุงร่างของตัวเองขึ้นมาพร้อมกับเก้าอี้ในท่านั่ง รีบแกะกระดุม ถอดเสื้อของมันออกมาหุ้มแขนส่วนนั้นไว้เพื่อห้ามเลือดอย่างทุลักทุเล คราวนี้ปัญหาตามมาอีกคือ มันจะแยกร่างออกจากเก้าอี้ตัวนี้ยังไงกัน ในเมื่อกางเกงที่มันนั่งอยู่ ติดกับเก้าอี้เต็มไปด้วยกาวร้อนแกะไม่ออก มันยืนขึ้นก้มตัวไปข้างหน้าให้มากที่สุด ใช้มือข้างปกติของมันปลดกระดุมกางเกง พยายามจะถอดออกจากตัว แต่มันถอดออกไม่ได้เพราะมันใส่กางเกงยีนส์จึงถอดลำบาก ปวดแผลก็ปวด เลือกวิธีใหม่ตะเกียกตะกายขยับทีละนิดพร้อมเก้าอี้ติดก้น ไปหาขวานด้ามที่มันใช้ฟันแขนตัวเองนอนอยู่บนพื้นอีกฝั่งคว้าขวานมาได้ รีบนั่งลงพร้อมเก้าอี้ ใช้ขวานผ่ากางเกงเป็นรอยยาวออกทีละข้างจนสำเร็จ ลุกขึ้นได้รีบวิ่งออกไปทางประตู โดยไม่สนใจว่า ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของมันมีเพียงกางเกงในตัวเดียว ห่อหุ้มความอุบาทว์ของตัวเองเอาไว้ มันหวังเพียงวิ่งไปให้ไกลจากที่นี่ เพราะกลัวชายสูทชุดดำหน้ากากซอว์ เปลี่ยนใจกลับมาฆ่ามันทิ้งเสีย และมันสัญญากับตัวเอง ถ้ามันรอดชีวิตไปได้ไม่ตายเสียก่อนเพราะเสียเลือดมาก มันจะไม่ไปขโมยเงินของใครอีกตลอดทั้งชีวิตนี้ ต่อให้อดตายเพราะไม่มีเงินซื้อข้าวมันก็ยอมตาย เสียงของชายหน้ากากซอว์ยังดังกึกก้องอยู่ในหัวของมัน
“ถ้าหากคุณมีชีวิตรอดกลับไปได้ อย่าคิดไปขโมยเงินใครอีก ถ้าผมรู้ ผมจะตามไปตัดแขนอีกข้างของคุณ แถมขาทั้งสองข้างด้วย”
ชายสวมสูทชุดดำหน้ากากซอว์ เดินเข้ามาภายในห้องมองผลงานที่เกิดขึ้น แสยะยิ้มอย่างภาคภูมิใจ คนพวกนี้มันสมควรได้รับบทเรียนราคาแพงเสียบ้าง พวกไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
++The End++
ดินสอสีเลือด
สมาชิก